วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553
"ปรากฏการณ์ปากกาหัก..นักวิเคราะห์"ตอนที่ 2
ผมเป็นคนหนึ่งที่คลุกคลีกับข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ..ทุกๆเช้าผมจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ท่องไปในโลก internet เพื่อที่จะเอา "ข่าว Hot ประเด็นสำคัญๆ ที่มีผลกระทบต่อหุ้นหรือตลาด--ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง" จากนั้นก็จะ post ลงกระทู้ www.stock2morrow.com ซึ่งผมตั้งขึ้นมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว
ผมเฝ้าดูชุมชน S2M เติบโตจากกระทู้เล็กๆ กลายเป็นชุมชนกระทู้การลงทุนที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆของประเทศ ที่มีคนดูเป็นแสนๆคนต่อเดือน ..จริงๆแรกๆ ผมก็เขียนบทความ แล้วก็ไป post ในกระทู้ที่ต่างๆ แต่ก็เห็นบางอย่าง บางเรื่องที่ผม ไม่ค่อยชอบ จึงแยกตัวออกมาพร้อมเพื่อนๆกลุ่มนึง ที่มาตั้ง S2M (ด้วยใจ!!) ...ฟังดูเวอร์ว่า ด้วยใจ!! แต่ S2M ก็เป็นการรวมตัวของนักเล่นหุ้น "คุณหมอเก่งๆ" "ทีมงานเก่งๆที่ไม่ได้ทำเพื่อเงิน" ที่แวะเวียนมาให้ความรู้เพื่อนๆอย่างต่อเนื่องในกระทู้ และมาแชร์ความรู้ในงานสัมมนา S2M (ที่เราเวียนจัดไปในสถานที่ต่างๆ ..อย่างล่าสุดก็ที่ พัทยาครับ)
"ค่าสมาชิก 1,000 บาทต่อปี(วันละ3บาท!!)" หลายคนบอกว่า "แพง" แต่มันก็เป็นการดีที่ทำให้ ชุมชน S2M อิสระจากการ"หนุนหลังของรายใหญ่ ..ที่บางครั้งมาหาประโยชน์" (เดี๋ยวๆ!! ผมไม่ได้ว่า web ไหนนะครับ อย่าเข้าใจผมผิด) เอาเป็นว่า ค่าสมาชิกเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีอิสระจาก Control และการครอบงำต่างๆ และ อีกด้านก็เป็นการคัดคนที่สนใจจริงๆ (คือคนเล่นหุ้นจริงๆสู่สังคมนี้น่ะครับ)
กลับมาเรื่อง "ปากกาหัก..ของนักวิเคราะห์" คือจากข้อมูลที่ผ่านตาผมทุกวันๆ ผมเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของ "เงินทุน" ตั้งแต่เกิด Sub Prime เป็นต้นมา ...นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนทั่วโลก เกิดปรากฏการณ์ risk averse (คือ มีมุมมองในเรื่องความเสี่ยงต่างจาก ก่อน Sub Prime)
ดังนั้น ถ้าเราจะพูดว่า Sub Prime Crisis เป็น Tipping Point ของการเปลี่ยนแปลง "วิธีการและความคิดของ การบริหารเงิน" -- ผมว่ามันเป็นอะไรที่ใช่!!
ผมกับภาววิทย์ กำลังประมวลข่าวสาร ในช่วงเวลา Sub prime คือ การเอาข่าวสารที่สำคัญๆ มาวิเคราะห์เข้ากับ การขึ้นลงของตลาดหุ้น รวมทั้งการเคลื่อนไหวของ Fund Flow ในช่วงเวลาดังกล่าว (ตอนนี้กำลังทำอยู่ ...เพื่อนๆที่สนใจผลงานของผม ขอให้อดใจรออีกนิดครับ ผมจะพยายามทำให้หนังสือเล่มนี้เป็น อีกชิ้นโบว์แดงของ S2M ที่เป็น Reference อย่างดี "ในการเข้าใจข่าว เข้าใจแนวโน้มของตลาดครับ")-- และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ผมและหลายๆคน สามารถผ่าน วิกฤตปี 2008 ไปได้
ประเด็นเล็กๆที่น่าสนใจคือ ตลาดกำลังก้าวไปกว่าที่นักวิเคราะห์ทุกคนคาด "อีกหนึ่งก้าว" และนี่เป็นสาเหตุของ "ปากกาหักครับ"...อย่างก่อน Sub prime ตลาดบ้านเราจะมีการทำกำไร ก่อนรับปันผล เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เคยมองปันผล(ไม่สนใจปันผล ดูแต่ Capital Gain อย่างเดียว) ทำให้ช่วงเดือนอย่างสิงหาตลาดมักจะตก ...แต่พอหลัง Sub Prime นักลงทุนกลัวความเสี่ยงจึงเอาเงินไว้นอกตลาด แล้วโยกเข้ามาเพื่อรับปันผล จากนั้นก็โยกออกไป "มันเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปต่อมุมมองของการรับ Dividend ที่ทำให้การโยกเงินเปลี่ยนแปลง..ซึ่งจุดนี้ส่งผลโดยตรงต่อการขึ้นลงของ SET "
วันนี้ทุกคนกล่าวถึงการ Double Dip เนื่องจากมี กองทุนมากมายที่ "ตกรถไฟ" จากที่ตลาดปี 2009 เป็น Bull Market ที่แรงจริงๆ ..คนเหล่านี้ย่อมหวังให้หุ้นลง (แต่มันขัดกับ Warren Buffet เทพเจ้าแห่งการลงทุน..คุณว่าคุณจะถือหางใครดี!!)
Asset ทั่วโลกตั้งอยู่บนฐานของ "ความเชื่อ" ... หลักการง่ายๆมันก็คือ คนเชื่อในสิ่งใด สิ่งนั้นก็ขึ้น!! (ประเด็นมันอยู่ที่เงินมันไหลตรงข้ามกับแรงดึงดูดของโลก "น้ำไหลลงที่ต่ำ แต่เงินดันไหลขึ้นที่สูง" จะอธิบายแบบชาวบ้าน ก็คือเงินมันไหลตาม "ความโลภ"นั่นเอง
นักวิเคราะห์จะมองอยู่บน ทฤษฏี แต่ตอนนี้ตลาดมัน "ปั่นป่วน" มันสวนทฤษฎี ...ตอนนี้ผมกำลังรื้อข้อมูลมาดู ซึ่งพบ Trend บางอย่างที่น่าสนใจ "ตลาดมันก้าวไปเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ก้าวหนึ่งเสมอ..และนี่คือ "ปากกาหัก อีกรอบ ๆ" (ไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ!!)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น