แกะรอยหยัก

แกะรอยหยัก
หนังสือเล่มแรกที่ S2M ภูมิใจนำเสนอ

คุยกับผม Pom Looking

คุยกับผม Pom Looking
นี่เป็น blog ที่สร้างขึ้นมาเพื่อ แลกเปลี่ยนและแบ่งปัน การลงทุนอย่างอิสระ ผ่านประสบการณ์จริง และองค์รวมความรู้แห่งชุมชน web หุ้น S2M

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คำอธิบายของผู้เขียนร่วม (นาย ภาววิทย์ นักเขียน “แกะรอยหยักสมอง” นั่นเองฮะ!!)



หนังสือเล่มนี้แม้จะไม่ใช่ภาคต่อจาก “หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” โดยตรง ของภาววิทย์ แต่ก็ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า …หนังสือที่อยู่ในมือท่านตอนนี้ เป็นหนึ่งใน Series ของค่ายหนังสือน้องใหม่อย่าง S2M ที่ตั้งใจ และรวบรวมมุมมอง และการลงทุน ..ทุกแนวเท่าที่จะหาได้ มารวมใส่จาน พร้อมเสริฟ อย่างกับ Fast Food เลยทีเดียว!!

ขอเกริ่นถึงจุดเริ่มต้นของค่ายหนังสือ S2M ก่อนว่า “มาได้ไง” เริ่มจากเจ้าของ Web หุ้นชื่อดังของเมืองไทย www.stock2morrow.com กับ นาย ภาววิทย์ ได้โคจรมาเจอกัน …มันเป็นจุดเริ่มต้นตลกๆที่ ภาววิทย์เอาบทความใน Blog ของเขา http://pawawit.blogspot.com เข้ามา Post ใน Web ของ looking (ชื่อในวงการ web ของคุณ ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา)

“เอ๋อ!! คุณภาววิทย์ใช่ไหม ผม looking นะ(ฮึ ฮึ ในวงการรู้จักผมในนาม “ป๋ากึ้ง”นะ) เรานัดมาเจอกันได้ไหม … อะไร!! ใครฟะ ป๋ากึ้ง (ขึ้นต้นว่า “ป๋า” คงไม่พ้น เกย์เฒ่าแน่นอน) –“สรุปผม (ภาววิทย์) รีบไปตามนัดทันที!!” ( อิ อิ …ผมล้อเล่นนะ ผมและ looking ไม่ได้เป็น เกย์ ผมเขียนใส่ไข่นิดๆ ไม่งั้นเรื่องราวมันจะจืดเกินไป …หุ หุ หุ)

เมื่อผม คุยกับ Looking มัน “คลิ๊ก” อย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ --“ต้นฉบับของ หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet ก็มาอยู่ในมือของ looking” จากนั้น อีกหนึ่งสัปดาห์ “คุณ looking ก็เอาต้นฉบับ ไปพิมพ์เป็นหนังสือ!!” (ผม Surprise คุณ looking ด้วยการ deliver ต้นฉบับใน 2 สัปดาห์ ..คุณ looking ก็ Surprise ผมกลับด้วยการ “จัดเป็นเล่ม พร้อมตั้งสำนักพิมพ์ ใน 1 สัปดาห์) … “บ้าทั้งคู่!!”

หลังจากพิมพ์หนังสือ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” เสร็จก็ถึงวัน “งานสัมมนาประจำปีของ stock2morrrow (S2M) ที่ Garden Cliff Pattaya ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ S2M จัดสัมมนาในต่างจังหวัด (ปกติ S2M จะจัดอยู่ในกรุงเทพ ปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อเป็นการพบกัน แลกเปลี่ยนความรู้กัน ระหว่างสมาชิกของ S2M ) และนี่ก็เป็นการเปิดตัวหนังสือเป็นครั้งแรกของ S2M

จุดเริ่มต้นจากหนังสือเล่มเล็กๆ กลายเป็น การสานฝันครั้งใหญ่ระหว่าง “ภาววิทย์” กับ “looking” … “ใช่แล้วครับ” หนังสือ เล่มเล็กๆของภาววิทย์ มันกลับเป็น การเปิดโอกาสครั้งสำคัญให้ผมและ looking ได้พบนักลงทุน และ นักเขียนอีกหลายๆท่าน
หนังสือ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” เล่มนี้ แม้ไม่ได้กระจายขายไปในวงกว้างในร้านหนังสืออย่าง SE-ED แต่อย่างน้อย หนังสือเล่มนี้ ก็เข้าไปอยู่ในมือ ผู้บริหารคนสำคัญขององค์กรต่างๆ อย่าง กรีนสปอต, ปูนซีเมนต์เอเชีย , หลักทรัพย์บัวหลวง , Trader ใหญ่ๆของประเทศ ทั้ง ED&F MAN , ARMAJARO , NOBLE SUGAR , PLANTHEON และแน่นอน สถานี่บ่มฝักทางปัญญาของผม ธนาคารกรุงเทพ (ธนาคารที่ได้ชื่อว่า เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุด ในโลกของการทำธุรกิจ ในเมืองไทย)

วันนี้ S2M มีเครือข่าย (ทางความคิด) ทั้งในวงการของ คุณหมอนัก Trade เก่งๆ, Broker หลายต่อหลายสำนัก , Proprietary Trader ของสถาบัน, นักเขียนเก่งๆในโลกธุรกิจหลายๆท่าน , Trader อิสระ …ซึ่งเครือข่ายทางปัญญาเหล่านี้แหละ ที่เรากำลังรวบรวม “เป็นหนังสือดีๆ” และถ่ายทอดเป็น Series ของการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ทั้งในแนวของ Value Investor ไปจนถึง การTrade โดยข่าว จนถึงแบบที่ใช้ gearing ทางการเงิน ที่มี leverage สูงๆ อย่าง Trader หุ้นไปจนถึง Commodity Trader

เอาเป็นว่า ขอให้ท่านทั้งหลาย ที่ใฝ่รู้ ในการลงทุน แขนงต่างๆ อดใจรอผลงานจากพวกเรา ซึ่งจะทยอยออกมาเรื่ิอยๆ ภายใต้ ค่ายหนังสือนาม S2M แห่งนี้ครับ

สิ่งที่เราพัฒนาไปคู่กับ “ค่ายS2M ก็คือ Social Media” หนังสือ ทุกเล่ม และ นักเขียนทุกคนที่อยู่ใน S2M จะเชื่อมโยงกันอยู่ภายใต้ Social Media ที่เราเปิดให้เพื่อนๆเข้ามาเยื่ยมเยียน และคุยแลกเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา ..เรียกได้ว่า นักเขียนและผู้ถ่ายทอด ทางความคิดทุกท่านของ S2M “เราติดดินและเข้าถึงได้ง่าย…เพียงแค่ท่านมี Facebook และก็มี Internet เราก็ติดต่อกันได้แล้วครับ”

มาดูผลงานของพวกเราซิครับใน Blog เช่น http://pawawit.blogspot.com , http://monkeytrade.blogspot.com , http://pomlooking.blogspot.com และ waiting to come อีกมากมาย---(แล้วแวะเข้ามาเยื่ยมนะครับ!!)

หรือใครมี Facebook ก็มาเป็นเพื่อนกัน โดย Search ใน Facebook ที่ชื่อ “Pawawit Stock Comment” , “Pom Looking” , “Monkey Trader” และอีกมากมาย (อย่าลืม คลิ๊ก เข้ามาเป็นเพื่อนกันนะครับ!!)
ส่วนใครมี “ความสามารถในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม และมีความรักที่จะเผยแพร่(แบบไม่กั๊ก)” มาผมคุยกับผมและ พี่ looking ได้ทุกเมื่อ … S2M จะเป็นเวที ให้ผลงานของคนที่รักในการเผยแพร่เสมอครับ!!

..ส่วนใครอยากทดลองฝีมือ เข้ามาเป็นสมาชิกของ S2M แล้วลองใช้ Community Web แห่งนี้เป็นเวทีในการ ทดลองการเผยแพร่ผลงานนะครับ …stock2morrow เป็น web หุ้นที่เป็นกันเอง เราพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ แบบไม่ต้องเขินอายนะครับ!!

(เอ๋อ!! ค่าสมาชิก 1,000 บาทต่อปี อย่ามองว่า “ตั้งไว้ปลอกลอก” มันเป็นค่าใช้จ่าย ที่ทำให้ S2M อิสระจากการครอบงำของ รายใหญ่ และ องค์กรต่างๆ..เหล่าวิทยากรและพี่ที่อยู่ในชุนชนแห่งนี้ ก็ไม่ได้หวังเข้ามาเพื่อหาประโยชน์ เพียงแต่ ทุกคนเข้ามาแชร์แลกเปลี่ยนความรู้กัน เพื่อการลงทุนอย่างฉลาดและรอบครอบน่ะครับ “ใครอยากรู้เรื่องอะไร หุ้นอะไร หรือ อยากถามอะไร ก็ลงคำถามมาใน web board คือ ถ้าใครมีเวลา และมีความรู้ ก็จะมาช่วยๆกันตอบครับ”)

“ก็ไปด้วยกันครับ” …เราจะลงทุนไปด้วยกัน ด้วยปัญญา เป็นเครื่องชี้นำครับผม!!

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
( Banker (ธนาคารกรุงเทพ) & Investor (อิสระ) และอดีตผู้ประกอบการในต่างประเทศ , Blogger (มือสมัครเล่น) และ เจ้าของงานเขียน “หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet”)

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ปรากฏการณ์ปากกาหัก..นักวิเคราะห์"ตอนที่ 2



ผมเป็นคนหนึ่งที่คลุกคลีกับข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ..ทุกๆเช้าผมจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ท่องไปในโลก internet เพื่อที่จะเอา "ข่าว Hot ประเด็นสำคัญๆ ที่มีผลกระทบต่อหุ้นหรือตลาด--ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง" จากนั้นก็จะ post ลงกระทู้ www.stock2morrow.com ซึ่งผมตั้งขึ้นมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว

ผมเฝ้าดูชุมชน S2M เติบโตจากกระทู้เล็กๆ กลายเป็นชุมชนกระทู้การลงทุนที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆของประเทศ ที่มีคนดูเป็นแสนๆคนต่อเดือน ..จริงๆแรกๆ ผมก็เขียนบทความ แล้วก็ไป post ในกระทู้ที่ต่างๆ แต่ก็เห็นบางอย่าง บางเรื่องที่ผม ไม่ค่อยชอบ จึงแยกตัวออกมาพร้อมเพื่อนๆกลุ่มนึง ที่มาตั้ง S2M (ด้วยใจ!!) ...ฟังดูเวอร์ว่า ด้วยใจ!! แต่ S2M ก็เป็นการรวมตัวของนักเล่นหุ้น "คุณหมอเก่งๆ" "ทีมงานเก่งๆที่ไม่ได้ทำเพื่อเงิน" ที่แวะเวียนมาให้ความรู้เพื่อนๆอย่างต่อเนื่องในกระทู้ และมาแชร์ความรู้ในงานสัมมนา S2M (ที่เราเวียนจัดไปในสถานที่ต่างๆ ..อย่างล่าสุดก็ที่ พัทยาครับ)

"ค่าสมาชิก 1,000 บาทต่อปี(วันละ3บาท!!)" หลายคนบอกว่า "แพง" แต่มันก็เป็นการดีที่ทำให้ ชุมชน S2M อิสระจากการ"หนุนหลังของรายใหญ่ ..ที่บางครั้งมาหาประโยชน์" (เดี๋ยวๆ!! ผมไม่ได้ว่า web ไหนนะครับ อย่าเข้าใจผมผิด) เอาเป็นว่า ค่าสมาชิกเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีอิสระจาก Control และการครอบงำต่างๆ และ อีกด้านก็เป็นการคัดคนที่สนใจจริงๆ (คือคนเล่นหุ้นจริงๆสู่สังคมนี้น่ะครับ)

กลับมาเรื่อง "ปากกาหัก..ของนักวิเคราะห์" คือจากข้อมูลที่ผ่านตาผมทุกวันๆ ผมเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของ "เงินทุน" ตั้งแต่เกิด Sub Prime เป็นต้นมา ...นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนทั่วโลก เกิดปรากฏการณ์ risk averse (คือ มีมุมมองในเรื่องความเสี่ยงต่างจาก ก่อน Sub Prime)

ดังนั้น ถ้าเราจะพูดว่า Sub Prime Crisis เป็น Tipping Point ของการเปลี่ยนแปลง "วิธีการและความคิดของ การบริหารเงิน" -- ผมว่ามันเป็นอะไรที่ใช่!!

ผมกับภาววิทย์ กำลังประมวลข่าวสาร ในช่วงเวลา Sub prime คือ การเอาข่าวสารที่สำคัญๆ มาวิเคราะห์เข้ากับ การขึ้นลงของตลาดหุ้น รวมทั้งการเคลื่อนไหวของ Fund Flow ในช่วงเวลาดังกล่าว (ตอนนี้กำลังทำอยู่ ...เพื่อนๆที่สนใจผลงานของผม ขอให้อดใจรออีกนิดครับ ผมจะพยายามทำให้หนังสือเล่มนี้เป็น อีกชิ้นโบว์แดงของ S2M ที่เป็น Reference อย่างดี "ในการเข้าใจข่าว เข้าใจแนวโน้มของตลาดครับ")-- และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ผมและหลายๆคน สามารถผ่าน วิกฤตปี 2008 ไปได้

ประเด็นเล็กๆที่น่าสนใจคือ ตลาดกำลังก้าวไปกว่าที่นักวิเคราะห์ทุกคนคาด "อีกหนึ่งก้าว" และนี่เป็นสาเหตุของ "ปากกาหักครับ"...อย่างก่อน Sub prime ตลาดบ้านเราจะมีการทำกำไร ก่อนรับปันผล เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เคยมองปันผล(ไม่สนใจปันผล ดูแต่ Capital Gain อย่างเดียว) ทำให้ช่วงเดือนอย่างสิงหาตลาดมักจะตก ...แต่พอหลัง Sub Prime นักลงทุนกลัวความเสี่ยงจึงเอาเงินไว้นอกตลาด แล้วโยกเข้ามาเพื่อรับปันผล จากนั้นก็โยกออกไป "มันเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปต่อมุมมองของการรับ Dividend ที่ทำให้การโยกเงินเปลี่ยนแปลง..ซึ่งจุดนี้ส่งผลโดยตรงต่อการขึ้นลงของ SET "

วันนี้ทุกคนกล่าวถึงการ Double Dip เนื่องจากมี กองทุนมากมายที่ "ตกรถไฟ" จากที่ตลาดปี 2009 เป็น Bull Market ที่แรงจริงๆ ..คนเหล่านี้ย่อมหวังให้หุ้นลง (แต่มันขัดกับ Warren Buffet เทพเจ้าแห่งการลงทุน..คุณว่าคุณจะถือหางใครดี!!)

Asset ทั่วโลกตั้งอยู่บนฐานของ "ความเชื่อ" ... หลักการง่ายๆมันก็คือ คนเชื่อในสิ่งใด สิ่งนั้นก็ขึ้น!! (ประเด็นมันอยู่ที่เงินมันไหลตรงข้ามกับแรงดึงดูดของโลก "น้ำไหลลงที่ต่ำ แต่เงินดันไหลขึ้นที่สูง" จะอธิบายแบบชาวบ้าน ก็คือเงินมันไหลตาม​ "ความโลภ"นั่นเอง

นักวิเคราะห์จะมองอยู่บน ทฤษฏี แต่ตอนนี้ตลาดมัน "ปั่นป่วน" มันสวนทฤษฎี ...ตอนนี้ผมกำลังรื้อข้อมูลมาดู ซึ่งพบ Trend บางอย่างที่น่าสนใจ "ตลาดมันก้าวไปเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ก้าวหนึ่งเสมอ..และนี่คือ "ปากกาหัก อีกรอบ ๆ" (ไว้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ!!)

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อธิบาย Phenomenon "ปากกาหัก..ของนักวิเคราะห์เก่งๆทั่วโลก"



หากใครสังเกตุจะเห็นได้ว่าตั้งปี 2008 "Sub prime Crisis" เป็นต้นมา ...นักวิเคราะห์เก่งๆทั่วโลก"ปากกาหัก" ถ้าพูดในแนวนักมวยก็คือ "โดนต่อยตาแตก!!" มึนจนยืนแทบไม่อยู่

เริ่มตั้งแต่ "รัฐบาลปล่อยให้ Lehman Brother เจ๊ง!! ..พูดง่ายๆว่าผิดคาด (เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า รัฐบาลไอ้กัน จะยอมปล่อยให้สถาบันการเงินที่ใหญ่ขนาดนี้ล้มได้) --"ปิดด้วยวาทะ จากนักวิเคราะห์ของอเมริกาว่า "US Government มึงบ้าไปแล้ว!!" จากนั้นนักวิเคราะห์ก็คิดว่า รัฐบาลไอ้กัน บ้าไปแล้ว เพราะยึดหลักทุนนิยมสุดโต่งที่ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามกลไกตลาด "ใครใคร่เจ๊งเจ๊ง เหมือนที่ IMF มันทำกับเรา ตอนปี 1997 "ต้มยำกุ้ง" นั่นแหละ"

หลังจากนั้น เมื่อเห็นผลกระทบจากการปล่อยให้ Lehman Bro. เจ๊ง "มันแรงกว่าที่คิดมากนัก" เพราะ Lehman เป็นหนึ่งใน Investment Banking ที่เราเรียกว่า Shadow Banking นั่นก็คือ เครือข่ายทางการเงินขนาดยักษ์ที่เปรียบเสมือน "เงา" ของระบบการเงิน ...ผลกระทบก็คือ "การเจ๊งระนาว แบบลูกโซ่ ที่เกือบดึงระบบการเงินทั้งโลกสู่หายนะ" -- จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "นักวิเคราะห์ทั่วโลก ฟันธงเลยว่า วิกฤตครั้งนี้จะแรงกว่า The Great Depression!!"

"แล้วอะไรเกิดขึ้น!!" --ปลายปี 2008 ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งหนัก ...หลังจากนั้นไม่นาน เพียงต้นปี 2009 ตลาดหุ้นทั่วโลกหักหัวขึ้นอย่าง Sharp!!.. นักเคราห์ทั่วโลกฟันธงอีกครั้งว่า " Bear Rally หรือ Sucker Rally "(คือพูดเป็นนัยว่า คุณอย่าไปหลงกล ตอนนี้มันเป็นการขึ้นหลอกๆ เดี๋ยวหุ้นก็จะตก ตกหนักกว่าเดิมอีก" ...ผลก็คือ "ปากกาหักอีกครั้ง ..เนื่องจากปี 2009 กลายเป็น Bull Market ของแท้ตลอดปี!!"

"กองทุนทั่วโลกซวย" "นักวิเคราะห์ทั่วโลกปากกา--หักไม่รู้กี่ด้าม" ...แต่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ผ่านวิกฤต 2008 มาได้อย่างสบาย ..แน่นอนคนที่ดังที่สุดในเมืองไทยที่ ผ่านวิกฤต sub prime แล้วรวยขึ้นคือ ดร.นิเวศน์ (Idol ของชาว VI เมืองไทยที่ดังที่สุด) ...แต่ก็มี 2 หนุ่ม(คนเล็กๆ) ที่ผ่านวิกฤตมาได้เช่นกัน นั่นก็คือ Looking (ป๋ากึ้ง ผู้ก่อตั้งชุมชน S2M "stock2morrow" นั่นเอง) และก็ หนุ่มที่(ซวยมาจากกิจการในต่างประเทศ) แต่มาโชคดีกับตลาดหุ้น Pawawit (เจ้าของผลงาน "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet" ผลงานดัง คำภีร์ฝ่าวิกฤต เพื่อเตรียมท่านสู่ยุค Asian Miracle2)

ป๋ากึ้ง "เซียนหุ้นเล็กต่ำกว่าบาท" กับ Pawawit "ผู้คลั่งไคล์ใน Blue chip" ทั้งสองเล่นต่างตัว แต่ก็ได้กำไร (และนั่นคือ จุดเด่นของ ตลาดหุ้น )

ป๋ากึ้ง : "จากประสบการณ์การเล่นหุ้นนับสิบปี ของผมผ่านวิกฤตต่างๆ ผมขอบบอกว่า การเล่นหุ้นมันเป็น Art (ถ้าคุณคิดว่า ตลาดหุ้นเป็นศาสตร์ตายตัว 1+1 = 2 ..คุณเตรียมเจ๊งได้เลย!!) .."วิธีเล่น(สูตรสำเร็จ)แล้วรวย!! ถ้ามันมีจริง คงไม่มีใครเล่นหุ้นแล้วขาดทุน !!" --"ถ้ามีสูตรสำเร็จแห่งความรวย เขาจะเอามาบอกคุณทำไม..เก็บไว้รวยคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ!!" -- และนี่เป็นสาเหตุที่ผมก่อตั้งชุมชน stock2morrow ขึ้น "เราไม่เลี้ยงข้าวท่าน แต่เราเสนอเครื่องมือให้ท่านเป็นทางเลือก ...มันคือการติดอาวุธทางปัญญา ซึ่งท้ายสุดความสำเร็จมันขึ้นกับ รูปแบบเฉพาะของแต่ละคน ที่จะนำคุณสู่ความสำเร็จ (The Art)"

(ถ้าวันนี้คุณกำลังเล่นหุ้น ตามวิธีการ หรือสูตรสำเร็จแห่งความรวยใดๆ ..ขอให้ท่านจงระวัง "ของดีจริงไม่มีใครเขาเอามายัดปากคุณหรอกครับ!!)

วันนี้หุ้นเล็กไร้พื้นฐาน ที่ปั่นกันตามข่าว (คุณดูให้ดีว่า ใครได้ประโยชน์) "หุ้นแบบนี้คือ หุ้นที่จะทำให้คุณรวยเพียงข้ามคืน ในยุค Asian Miracle ปี 1994...ตอนนั้น คุณซื้ออะไรก็พุ่ง "หลับตาเล่นหุ้นยังกำไรเลย เพราะเวลานั้น ตลาดมัน Boom" ...ผมว่าเราใกล้เข้ามาแล้วถึงช่วงเวลา Asian Miracle อีกครั้งแล้ว !!

สัญญาณทุกอย่างทาง Technical มันชี้สัญญาณ Bullish ในภาพใหญ่ (แม้ในระสั้น ตลาดจะ correction เป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งมันปรับฐาน มันก็เพื่อที่จะขึ้นต่อ..."ไม่เชื่อคุณไปลากกราฟจาก Bottom เมื่อปลายปี 2008 ถึงตอนนี้ดู แล้วคุณจะรู้ว่าผมพูดถึงอะไร"

"ผมไม่ได้บอกว่าหุ้นเล็กไม่ดี (ผมก็ชอบเล่น) แต่ที่อยากจะเตือน คือ High Return มันอิงกับ High Risk "ถ้าคุณรู้ไม่จริง หุ้นพวกนี้ไม่เหมาะกับคุณ..คุณไปดูหุ้นแนว Pawawit ดีกว่า"

Pawawit เล่นหุ้นแนวเงินนอน "เพราะ Port ของเขาเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของครอบครัวเขา ..ถ้าผิดตระกูลเขาต้องไปนอนข้างถนน" คุณเห็นรึยังว่า แนวทางของแต่ละคนมันต่างกัน ดังนั้น ขั้นแรกคุณถามตัวเองก่อนว่า "คุณรู้สถานะ Position ของ Port ตัวเองรึยัง...ถ้ายัง คุณหยุดเล่น แล้วไปคิดให้ดีก่อน !!"

ก่อนรบ "คุณต้องเข้าใจตัวเองก่อน!! ..ไม่งั้นไม่ต้องไปรบ มัน"แพ้"ตั้งแต่เริ่มแล้วครับ"

ทองคำปิดพุ่ง $6 หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐเดือนก.ค. ซบเซา

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก 8 วันทำการติดต่อกันและแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่น่าผิดหวัง ก่อให้เกิดกระแสความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจถดถอยรอบสอง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำซึ่งมีความปลอดภัย




สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 6 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,205.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เคลื่อนตัวในช่วง 1,194.50-1,213.30 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 15.10 เซนต์ ปิดที่ 18.472 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนต.ค.ร่วงลง 1.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,570.80 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 8.45 ดอลลาร์ ปิดที่ 487.60 ดอลลาร์/ออนซ์

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรลดลงมากเกินคาดถึง 131,000 อัตราเมื่อเทียบเป็นรายเดือนในเดือนกรกฎาคม ขณะที่อัตราจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นน้อยเกินคาดเพียง 71,000 อัตรา ส่วนอัตราว่างงานยังทรงตัวที่ระดับ 9.5% ดีกว่าที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 9.6%

ข้อมูลที่น่าผิดหวังดังกล่าวยิ่งทำให้นักลงทุนวิตกว่าตลาดแรงงานที่ซบเซาจะ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบเงินยูโร ซึ่งเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้ทองคำดึงดูดใจนักลงทุนมากขึ้น


อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข

Fund Flow นี้ ยังไหลมาต่อ...



Stock2morrow นับว่าเป็นสื่อแรกที่จับทาง Fund Flow ถูกทางมาตลอด 2 ปีนี้
ไม่ได้โม้ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

อ้างอิงกระทู้ (26 July 2010) ตามติด Fund Flow ภาค จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็น"ย่อย"
สงสัยงานนี้จะงานยักษ์กับหุ้นไทย !


นั่นเป็นข้อมูลที่มาก่อน Fund Flow ลูกล่าสุดจะเข้ามา...
แต่นั่นเป็นข้อมูลที่เราเกาะติดและคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนเสมอ

อย่างไรก็ตาม มันยังไม่จบ !
เราต้องทำการบ้านกันต่อไป...

อัพเดทกัน..

Fund Flow ลูกล่าสุดนี้สะสมมาได้ราวๆ 15,874 ล้านบาท
ไม่มากนักแต่ดันหุ้นขึ้นมาได้กว่า 100 จุดแล้ว
เนื่องจากปัจจัยที่เคยว่าไว้ในสัปดาห์ก่อนๆ ที่ว่านักลงทุนในประเทศมีผลต่อดัชนีหุ้นไทยมากขึ้น
การกลับมาซื้อของต่างชาติครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็น"ไม้ผลัด"ต่อมาจากรายย่อยด้วยซ้ำ

ยอดปีของต่างชาติใกล้จะพลิกกลับมาเขียวแล้ว